Project Management Professional (การบริหารโครงการอย่างมืออาชีพ)
คอร์สนี้บริษัทส่งไปเรียน..ค่าอบรมแพงมาก เกือบหกหมื่นบาท/คน สำหรับการอบรม 3 วันรวม Workshop ผู้สอน(Instructor) ต้องมีใบ Certificate ถึงจะสอนได้ ตอนที่เรียนไม่มีคอร์สภาษาไทย, อังกฤษล้วนๆฟังหูซ้ายเข้าไปวนในสมองกลวงๆ3-4รอบแล้วค่อยออกหูขวา.. คนสอนเป็นคนจีนมาเลเซียหรือจีนสิงคโปร์นี่แหละ บินมาสอน 3 วัน, สอนเสร็จบินกลับ ค่าตัวน่าจะแพง แต่ค่าเรียนที่จ่ายก็ไม่เบาเหมือนกัน เฉพาะที่บริษัทฯส่งมาเรียนก็ 6 คนเข้าไปแล้ว รวมอาหารกลางวันในโรงแรมด้วย..เรียนฟรีแถมอิ่มสบายท้อง แค่ปวดหัวตึบๆๆๆตอนเรียนแค่นั้น เรียนก็ยากพอแล้ว ต้อง Translate ความรู้เข้าสมองเป็นภาษาไทยอีก..PMP เป็นคอร์สแรก..สอนถึงการจัดการ, การบริหารโครงการ เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามระยะเวลาและภายใต้งบประมาณที่กำหนด ปัญหาต่างๆรวมถึงความล่าช้าถ้ามีผลกระทบกับระยะเวลา(ทำให้โครงการล่าช้า)หรือทำให้งบประมาณบานปลาย เป็นสิ่งที่ Project Manager ต้องรีบจัดการ หาวิธีแก้ไข หรือเรียกประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อหาทางแก้ปัญหา
อีกคำคือ PMO - Project Management Office เป็นการบริหารโครงการหลายๆโครงการในเวลาเดียวกัน เสมือนเป็น Upper Level ของ PMP คือการจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอต่อการทำโครงการต่างๆ ณ.เวลาเดียวกัน โดยอาศัยข้อมูลของแต่ละโครงการมาวิเคราะห์เพื่อจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิ์ภาพมากที่สุด ซึ่งจะยังไม่ขอกล่าว..
Project Life Cycle
ทั้งที่เรียนมา.. ทั้งใน Web หรือที่อ่านเจอ, บางทีก็บอกมา 5 บางอันก็บอกว่า 6 การแบ่ง Phase ต่างๆใกล้เคียงเหมือนๆกัน ขออธิบายตาม Phase ที่ทำงานจริงละกัน..อันเนี้ย Work สุดและ กระชับ ไม่เยิ่นเย้อ- Initial Management
- Planning Management
- Execution Management
- Monitor and Controlling Management
- Closing Management
Project ที่ทำๆมาแบ่ง Phase การจัดการออกเป็น 5 Phase แค่นี้ ขออธิบายแต่ละ Phase ให้ฟังว่าต้องทำอะไรบ้าง หลังจบ Phase ต้องได้อะไรออกมา
ก่อนจะพูดถึง Phase ต่างๆขอยกตัวอย่างแหล่งที่มาของ Project หรือ Project Source ก่อน คือมีมาจาก
- BU หรือหน่วยธุรกิจ/ฝ่ายต่างๆ Request ขึ้นมา
- Road Map ขององค์กรเองหรือ Road Map ของแผนก IT ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
- ฟ้าประทาน ที่บริษัทฯจะใช้คำนี้เมื่อได้รับคำสั่งตรงให้ทำ ซึ่งมักกระทบกับ Project Plan ที่เราทำอยู่ เพราะต้องมาจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดและ Project Timeline ต่างๆที่ต้องโดนเบียด
เมื่อเราได้ Project ที่ต้องทำมาแล้ว, เราต้องเอาแต่ละ Project มาเริ่มทำทั้ง 5 Phases โดยต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือเข้ามาช่วยจัดการ เริ่มขั้นตอนที่ 1
เป็น Phase แรกที่ต้องเริ่มทำ, งานส่วนใหญ่เริ่มที่ Project Manager เราจะเริ่มจาก
- คุยกับผู้บริหาร BU นั้นๆในสิ่งที่เค้าต้องการหรือปัญหาที่เกิดขึ้นในแผนก
- คุยกับ Key Users ถึง Daily Operations หรือวิธีการที่เค้าทำอยู่
2 ขั้นตอนแรกนี้, วิธีการเก็บข้อมูลขึ้นกับแต่ละบุคคลอาจใช้วิธีการจด การเขียน แต่สำหรับอิชั้นใช้เครื่องมือตัวนึงคือ MindMap แตกแขนงปัญหาและความต้องการต่างๆแทนการจด
รูปที่ 1 - ตัวอย่าง MindMap
ConceptDraw V. 8.0.2 เป็น Tools ตัวหนึ่งที่มี Features การเขียน Mindmap , Project Management และทำ Chart ต่างๆในตัวเดียวกัน
- เริ่มทำ Project Proposal หรือเอกสารนำเสนอโครงการเพื่อให้ผู้บริหารอนุมัติ โดยต้องมีรายละเอียดคร่าวๆในเอกสารดังนี้
- Background - อธิบายความเป็นมาคร่าวๆของระบบเดิมที่ทำอยู่ว่า คือระบบอะไร ทำอะไรได้บ้าง เกี่ยวข้องกับใคร ผลลัพท์คืออะไร ใครเอาไปใช้งานต่อ เป็นต้น..
- ปัญหา/อุปสรรค - แจกแจงว่าระบบที่ทำอยู่มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้างที่ทำให้ใช้เวลาและทรัพยากรบุคคลในการทำงานมากขึ้น
- Objectives - อธิบายเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่เราต้องทำโครงการนี้ขึ้นมาด้วย ว่าทำเพื่ออะไร?
- User Requirements - เขียนความต้องการของ BU เป็นข้อๆทั้งหมด
- แนวทางการแก้ปัญหา - PM เองต้องวิเคราะห์ปัญหา/อุปสรรคดังกล่าวว่ามี Solution ใดบ้างที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา อาจมีแค่วิธีเดียวหรือหลายวิธีก็ได้, PM จะต้องแจกแจง Solution ทั้งหมดที่แก้ปัญหาได้เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของผู้บริหาร (พึงระลึกเสมอว่า PM ไม่ใช่คนตัดสินใจเลือก Solution ที่จะมาแก้ปัญหา)
- Project Scope - ต้องบอกขอบเขตที่ชัดเจนว่าขอบเขตของโครงการอยู่ตรงไหน, ทำแค่ไหน โดยที่หากมี Request เพิ่มเติมเข้ามา เราจะมาดูว่ายังอยู่ในขอบเขตที่เรากำหนดหรือไม่? หากไม่ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำหรือเปล่า? นั่นคือการทำ Change Management ในลำดับต่อไป มีผลกระทบกับเวลาและงบประมาณหรือเปล่า? ถ้ากระทบ ต้องเข้าที่ประชุมเพื่อหาข้อสรุป
- Deliverable - อธิบายว่าอะไรคือผลลัพท์หรือ Output ที่จะได้หลังจากโครงการสำเร็จหรือ Go Live ออกไปแล้ว เช่น
- จะมี HW อะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง(Server, Clients), Application
- SW อะไรติดตั้งเพิ่มขึ้นมา (Web, Application etc..)
- Training Course อบรมการใช้งานแก่ใครบ้าง
- Service ที่จะเกิดขึ้น
- System Diagram - PM ควรเขียน System Diagram เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในระบบที่จะทำได้ดียิ่งขึ้น
- ER Diagram - หรือ Data Flow Diagram ก็เป็นอีกอันหนึ่งที่ PM ควรมีไว้ในเอกสาร เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจการไหลของข้อมูลไปยัง Entities ต่างๆ
- Project Organization - PM ต้องจัดวางโครงสร้างของผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการในตำแหน่งต่างๆเพื่อให้ผู้บริหารเห็นชอบ เพื่อจะกำหนด Role/Responsibilities ของแต่ละตำแหน่งต่อไป
- Contact Person Info. - ลงรายละเอียดชื่อนามสกุล/ตำแหน่ง/เบอร์โทรศัพท์/E-Mail ของทุก Stakeholders ที่อยู่ในโครงการ เพื่อการติดต่อประสานงาน (รวมทั้ง Vender ด้วยถ้ามี)
- Timeline - เพื่อบอกช่วงเวลาต่างๆของแต่ละ Phase ว่าจะเริ่ม/เสร็จสิ้นช่วงใด
- Cost - บอกค่าใช้จ่ายคร่าวๆโดยประมาณที่ต้องใช้ในโครงการทั้งหมด (มันแสดงเฉพาะฝั่งของค่าใช้จ่ายทั้งโครงการเท่านั้น)
- Business Case - จริงๆมันก็คือการแสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการ เพียงแต่แยกให้เห็นรายละเอียดของทั้ง Benefits และ Expenses ที่ได้รับและต้องจ่ายในช่วงระยะเวลา 3 ปี)
- Benefits - หมายถึงถ้าโครงการนี้สำเร็จ บริษัทฯจะได้รับผลประโยชน์อะไรบ้าง? โดยต้องคำนึงถึงทั้งที่วัดได้และวัดไม่ได้ เช่น ทำงานได้เร็วขึ้น เราก็ต้องประมาณว่าเร็วขึ้นแล้วคำนวณเป็นเงินคร่าวๆได้เท่าไหร่?
- Expenses - ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่โครงการต้องจ่าย
Deliverable ใน Initial Phase ก็คือ Project Proposal โดยมีหน้าสุดท้ายเป็นฟอร์มที่มีช่อง Approve พร้อม ให้ผู้บริหารเซ็นต์ Approve ให้เริ่มทำโครงการได้
ผู้บริหารอาจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือซักถามบางข้อสงสัยถึงสาเหตุ, สิ่งที่จะทำเพิ่มเติม ต้องเป็นหน้าที่ของ PM ในการเตรียมตัวเพื่อจะตอบคำถาม นั่นก็คือ PM จะเป็นเสมือน Single Contact ที่ใครสงสัย, มีปัญหา จะต้องมาถาม PM ก่อนเสมอ
Project Proposal จึงเป็นเอกสารฉบับแรกของโครงการที่เกือบทั้งหมดจัดทำขึ้นโดย PM
ผู้บริหารโดยส่วนใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจโครงการต่างๆมักให้ความสำคัญกับ Business Case เพื่อดูว่าถ้าลงทุนไปแล้ว Benefits ที่จะกลับมาภายใน 3 ปีจะคุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่? จำเป็นอย่างมากที่ต้องทำตัวเลขให้ได้กำไร ต้องพยายามประมาณการรายได้ที่วัดไม่ได้ เช่น ประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น, ความผิดพลาดที่ลดลง, ชื่อเสียงหรือ Image บริษัทฯ ต้องประมาณออกมาเป็นตัวเลขให้ได้ เพราะถ้า Business Case ได้ค่าติดลบ นั่นหมายถึงโครงการนั้นยังไม่เหมาะสมที่จะทำในเวลานี้
นอกเรื่อง..
ตอนที่มาร่วมทีม Project ใหม่ๆ ก็ดูเอกสารเดิมๆที่เค้าทำกันมาพบว่า
ผู้บริหารอาจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือซักถามบางข้อสงสัยถึงสาเหตุ, สิ่งที่จะทำเพิ่มเติม ต้องเป็นหน้าที่ของ PM ในการเตรียมตัวเพื่อจะตอบคำถาม นั่นก็คือ PM จะเป็นเสมือน Single Contact ที่ใครสงสัย, มีปัญหา จะต้องมาถาม PM ก่อนเสมอ
Project Proposal จึงเป็นเอกสารฉบับแรกของโครงการที่เกือบทั้งหมดจัดทำขึ้นโดย PM
- ระยะเวลาในการจัดทำไม่ควรเกิน 2 Weeks
- เผื่อเวลา 1 Week สำหรับการ Approve (ที่บริษัทฯเรียก Sign-Off Project Proposal)
- การแก้ไขต่างๆใน Project Proposal จะยังไม่บันทึก Log
- การที่ผู้บริหาร Sign-Off Project Proposal หมายถึงการยอมรับในรายละเอียดของ Project Proposal ทุกหัวข้อ, PM สามารถใช้อ้างอิงขอบเขตการรับผิดชอบในภายหลังได้
- ในทางปฏิบัติ.. PM ฝ่าย IT และ PM ฝ่าย BU จะ Sign-Off ทุกหน้าของ Project Proposal(ปกติมีประมาณ 10-15 หน้า) เพื่อเป็นการยืนยันต้นฉบับ และหน้าสุดท้ายจะเป็นการ Sign-Off ของ Project Sponsor และ Project Owner ถึงจะถือว่า Project ได้รับการ Approve แล้ว
PM ฝ่าย IT >Project Manager ที่ดูแล Resource ทางฝ่าย IT เช่น เจ้าหน้าที่ไอที, Application
PM ฝ่าย BU >Project Manager ที่มีอำนาจสั่งการให้ Key Users ฝั่ง BU เข้าร่วมหรือให้ความเห็นได้
Project Owner >หมายถึง Director หรือผู้บริหารระดับสูงที่ดูแล BU นั้นๆ
Project Sponsor >หมายถึงผู้บริหารระดับสูง, ผู้มีอำนาจในการสนับสนุนงบประมาณให้แก่โครงการ
นอกเรื่อง..
ตอนที่มาร่วมทีม Project ใหม่ๆ ก็ดูเอกสารเดิมๆที่เค้าทำกันมาพบว่า
- แยกแต่ละเรื่องเป็น Excel
- ไม่มีการทำ Project Proposal
- ใช้เวลา Meeting กันมากเกิน, เพราะไม่มีการบันทึกเป็น Log File
- กรณี PM คนเก่าออก, คนใหม่ที่มารับงานก็งานเข้า กว่าจะปรับตัวหรือ Update เพื่อทำต่อ ยากมากเพราะไม่มี Background ให้อ่านเลย
เลยเข้ามาปรับวิธีการใหม่, คนอื่นทำไงไม่รู้ ตัวเองนำร่องก่อนแล้วแชร์ให้ PM คนอื่นอ่าน ได้ผล มีคนเริ่มเห็นความสำคัญและทำตาม ก็เริ่มจากทำเหมือน IS แหละ ทำเอกสารตัวแรก Project Proposal หลังจากได้ Sign-Off จะเริ่มเอกสารตัวที่ 2 ที่ใช้เวลาทำนานสุด(จนจบโครงการ) นั่นคือ Project Document
Project Document
เปรียบเสมือนคัมภีร์ของโครงการนั้น, อ้างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชนิดที่ว่าใครมาอ่านก็ประติดประต่อเรื่องได้ เพราะมันเก็บทุกอย่างแยกเป็นหมวดหมู่ ที่สำคัญต้องทำ Change Index ไว้ด้วยเพื่อบอกคนอ่านว่า Version นี้แก้ไขหรือ Update เรื่องอะไร คนอ่านจะได้ตามไปอ่านเฉพาะส่วนที่แก้ไขหรือ Update เท่านั้น ไม่ต้องไปไล่อ่านใหม่ตั้งแต่ต้น เราจะมากล่าวโดยละเอียดต่อไปอีกครั้งในหัวข้อ Project Document
End..
เยี่ยมเลยครับ กำลังจะหาข้อมูลเรียน และสอบต่อไป
ตอบลบI will recommend anyone looking for Business loan to Le_Meridian they helped me with Four Million USD loan to startup my Quilting business and it's was fast When obtaining a loan from them it was surprising at how easy they were to work with. They can finance up to the amount of $500,000.000.00 (Five Hundred Million Dollars) in any region of the world as long as there 1.9% ROI can be guaranteed on the projects.The process was fast and secure. It was definitely a positive experience.Avoid scammers on here and contact Le_Meridian Funding Service On. lfdsloans@lemeridianfds.com / lfdsloans@outlook.com. WhatsApp...+ 19893943740. if you looking for business loan.
ตอบลบบริษัทกำลังจะให้เริ่มทำค่ะ เครียดเลย
ตอบลบ